สัมภาษณ์ อาจารย์ วาจวิมล เดชเกตุ
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ผู้กำกับภาพยนตร์
ผู้กำกับภาพยนตร์ คือผู้ที่มีหน้าที่กำกับในขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ โดยผู้กำกับภาพยนตร์มีหน้าที่สร้างจินตนาการจากบทหนัง แล้วถ่ายทอดความคิดทางด้านศิลปะออกมาตามแบบที่ตนเองต้องการ และเป็นคนสั่งฝ่ายอื่นๆในกองถ่าย อย่างเช่น ฝ่ายผู้กำกับภาพ ผู้กำกับการแสดง ฝ่ายเทคนิค นักแสดง ออกมาอยู่ในองค์ประกอบทางศิลป์ที่ตนเองต้องการบนแผ่นฟิล์มหรือในระบบดิจิตอล อย่างไรก็ดี ผู้กำกับภาพยนตร์อาจจะควบคุมทุกอย่างตามที่ตนคิดไว้ไม่ได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในโรง เพราะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ จะเป็นคนกำหนดงบประมาณที่จะให้ผู้กำกับใช้จ่ายได้ หรือสั่งตัดต่อหนังในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าโรงฉายหากหนังมีความยาวเกินไป หรือเพื่อดึงการจัดเรตหนังให้ต่ำลงมา หรือบางฉากอาจจะมีการเพิ่มโฆษณาเข้าไป ดังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แปลกหากผู้กำกับจะมีปัญหาให้คุยกับผู้อำนวยการสร้างเสมอๆ
รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของสมาคมผู้กำกับภาพยนต์ไทย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2555 ได้แก่
1. Top Secret วัยรุ่นพันล้าน
2. ที่รัก
3. SuckSeed ห่วยขั้นเทพ
4. ลัดดาแลนด์
5. ฝนตกขึ้นฟ้าวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
เทศกาลภาพยนตร์และการแจกรางวัลเทศกาลภาพยนตร์
เทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ (Bangkok Film
Festival) เป็นเทศกาลภาพยนตร์แรกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ริเริ่มในปี พ.ศ. 2541
จัดเป็นประจำทุกปี
โดยรวมภาพยนตร์จากนานาชาติและภาพยนตร์ไทย
และมีการประกวดภาพยนตร์ของนักทำหนังรุ่นใหม่ ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ
(Bangkok International Film Festival) เริ่มจัดเมื่อปี 2545 จุดเด่นของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพนี้ คือ
มีการแจกรางวัลต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพ
(The World Film Festival of Bangkok) จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546
โดยจะจัดในช่วงเดือนตุลาคม ดำเนินการโดยหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น โดยได้รับความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ
การแจกรางวัลภาพยนตร์
ในประเทศไทยได้มีการมอบรางวัลให้แก่บุคคลในวงการผลิตภาพยนตร์ไทย ที่มีผลงานดีเด่นที่สุดในสาขาต่าง ๆ ในแต่ละปี การจัดประกวดรางวัลเพื่อมอบให้แก่บุคคลในวงการภาพยนตร์ไทยเริ่มขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2500
สมาคมหอการค้ากรุงเทพ จึงได้จัดการประกวดรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติ ศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย โดยได้ตั้งรูปลักษณ์รางวัลไว้ 2 ประเภท คือ รางวัลสำเภาทอง มอบให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และรางวัลตุ๊กตาทองรูปนางรำ
ต่อมามีการออกแบบรางวัลขึ้นใหม่เป็นรูปพระสุรัสวดี จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น รางวัลพระสุรัสวดี จัดได้อยู่ 8 ครั้งแล้วหยุดไป ต่อมาได้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2517
โดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2522 รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ จัดโดยสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทย จุดประสงค์ก็ไม่ต่างจากรางวัลแรกอย่างพระสุรัสวดีเท่าใดนัก จนกระทั่งต้องงดจัดไปในปี 2531 หลังจากนั้น รัฐบาลได้เล็งเห็นคุณค่าของภาพยนตร์ที่มีต่อสังคมไทย และเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี และมีสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติเข้ามาเป็นผู้จัดการประกวด โดยใช้ชื่อว่า "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ"
ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์
และในปี พ.ศ. 2533 ได้เกิดรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงโดยมี นคร วีระประวัติ (บรรณาธิการฟลิกส์) เป็นประธานชมรมฯ มาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยความร่วมมือของเหล่านักวิจารณ์บันเทิงไทย โดยรางวัลพระสุรัสวดี (รางวัลตุ๊กตาทอง), รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ถือเป็นรางวัลสำคัญหลัก 3 รางวัลที่มีการจัดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีรางวัลอื่นๆ
อีกหลายรางวัลที่ริเริ่มจัดแจกในภายหลัง โดยมากมักเป็นรางวัลที่สำนักพิมพ์-นิตยสารภาพยนตร์ต่างๆ ตั้งคณะกรรมการของตนขึ้นเพื่อพิจารณารางวัลแก่ภาพยนตร์ไทย หรือเป็นรางวัลที่เกิดจากการการออกเสียงของผู้ชม
ภาพยนตร์เลือกมอบรางวัลแก่ ภาพยนตร์ไทยโดยมีผู้จัดงานเป็นนิตยสารภาพยนตร์หรือเว็บไซต์-เว็บบอร์ดเกี่ยว กับภาพยนตร์ ได้แก่ สตาร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์
(Star Entertainment Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2545,
คมชัดลึก อวอร์ด ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546,
ไบโอสโคป อวอร์ด (Bioscope Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546
โดยนิตยสารไบโอสโคป, สตาร์พิคส์ อวอร์ด (Starpics Thai
Film Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546
โดยนิตยสารสตาร์พิกส์, เฉลิมไทย อวอร์ด (Chalermthai Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546
โดยการออกเสียงของสมาชิกเว็บไซต์พันทิป (www.pantip.com) ฯลฯ
ยังมีรางวัลเชิดชูเกียรติที่มอบให้กับศิลปินที่ทำงานในวงการภาพยนตร์อย่าง รางวัลศิลปาธร ในสาขาภาพยนตร์
และศิลปินแห่งชาติ ในสาขาศิลปะการแสดง
Post Production
Post-Production เป็นขั้นตอนหลังจากขั้นตอน การเขียนบท,
pre production และ production ตามลำดับ
โดยขั้นตอน Post Production เป็นขั้นตอนหลังการผลิตภาพยนตร์
ที่ได้ถ่ายทำมาแล้ว ขั้นตอนนี้จะทำเกี่ยวกับการตัดต่อภาพยนตร์ (editing) การใส่เอ็ฟเฟ็คต่างๆที่ต้องการ รวมไปถึงการแปลงไฟล์ต่างๆ
เพื่อนำลงสื่อที่เหมาะสม
1.
การตัดต่อเสียง การใช้โปรแกรมที่ใช้ในงานด้านการตัดต่อเสียง เช่น โปรแกรม Adobe Audition เป็นต้น ในการตัดต่อเสียงที่จะใช้ในการตัดต่อวิดีโอ
2.
การตัดต่อวิดีโอ การใช้โปรแกรมที่ใช้ในงานด้านการตัดต่อวิดีโอ เช่น Sony vegus, Adobe Premier Pro, Edius เป็นต้น
3.
การใส่วิดีโอเอ็ฟเฟ็ค การใช้โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างเอ็ฟเฟ็คในงานวิดีโอ เช่น Adobe After Effect เป็นต้น
1.
ระบบวีดีโอประเภทต่างๆ (Analog video , Digital Video)
2.
ระบบกล้องวีดีโอ
3.
กล้องดิจิตอลวิดีโอ
และความเป็นมา
4.
ฟอร์แม็ตต่างๆ ของกล้องวิดีโอ
5.
การบีบอัดสัญญาณวิดีโอ
6.
กล้องยอดนิยมในปัจจุบัน
ระบบวีดีโอประเภทต่างๆ (Analog video ,
Digital Video)
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า
วิดีโอนั้นไม่ได้มีเพียงระบบดิจิตอลเพียงระบบเดียว
ระบบดิจิตอลนี้พึ่งมาใช้กับกล้องวิดีโออย่างเป็นจริงเป็นจังไม่นานนี่เอง
แต่ระบบที่มาก่อนและเราคงคุ้นเคยกันอย่างดีก็คือ ระบบอนาล็อกวิดีโอ (Analog Video) ซึ่งก็คือรูปแบบวิดีโอที่เห็นกันอยู่ทั่วไปตามร้านเช่าวิดีโอมุมถนนบ้านเรานั่นเอง
ระบบอนาล็อกวิดีโอ (Analog Video)
ระบบอนาล็อกวิดีโอ (Analog Video)
วิดีโอในระบบนี้ จะเก็บข้อมูลภาพและเสียงในรูปแบบของสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ค่อยนิ่ง
(อาจจะดูวิชาการอยู่ซักหน่อย) เมื่อนำมาวาดเป็นกราฟก็จะมีลักษณะลักษณะขึ้นๆ ลงๆ ที่ไม่แน่นอน เหมือนกับกราฟวัดหัวใจคนไข้นั่นแหละ ซึ่งมีความแน่นอนในการเก็บข้อมูลต่างๆ น้อยกว่าสัญญาณดิจิตอลซึ่งไม่ค่อยผิดเพี้ยน ข้อเสียของวิดีโอระบบนี้ก็คือ สัญญาณจะผิดเพี้ยนได้ง่าย และคุณภาพของภาพและเสียงลดน้อยลงเมื่อมีการส่งออกไปไกลๆหรือเมื่อบันทึกหลายๆครั้งสำหรับการตัดต่อวิดีโอนั้นทำได้อย่างยากลำบากกว่าระบบดิจิตอลมาก
ระบบดิจิตอลวิดีโอ (Digital Video)
(อาจจะดูวิชาการอยู่ซักหน่อย) เมื่อนำมาวาดเป็นกราฟก็จะมีลักษณะลักษณะขึ้นๆ ลงๆ ที่ไม่แน่นอน เหมือนกับกราฟวัดหัวใจคนไข้นั่นแหละ ซึ่งมีความแน่นอนในการเก็บข้อมูลต่างๆ น้อยกว่าสัญญาณดิจิตอลซึ่งไม่ค่อยผิดเพี้ยน ข้อเสียของวิดีโอระบบนี้ก็คือ สัญญาณจะผิดเพี้ยนได้ง่าย และคุณภาพของภาพและเสียงลดน้อยลงเมื่อมีการส่งออกไปไกลๆหรือเมื่อบันทึกหลายๆครั้งสำหรับการตัดต่อวิดีโอนั้นทำได้อย่างยากลำบากกว่าระบบดิจิตอลมาก
ระบบดิจิตอลวิดีโอ (Digital Video)
ระบบกล้องวีดีโอ
VHS (Video Home
System) เป็นวิดีโอแบบ Analog
มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปตามร้านเช่าหรือตามบ้าน เครื่องเล่นวิดีโอส่วนมากจะเป็นเครื่องเล่นในระบบนี้ วิดีโอในระบบนี้มีคุณภาพไม่ค่อยจะดีมากนักแต่ก็ไม่ถือว่าแย่ เหมาะสำหรับการบันทึกภาพไว้ดูแต่ไม่เหมาะสำหรับบันทึกภาพเพื่อนำมาตัดต่อ โดยทั่วไปจะบันทึกข้อมูลได้ประมาณ
2 ชั่วโมง กล้องที่ใช้เทปในระบบนี้จะมีขนาดใหญ่
เนื่องจากเทปมีขนาดใหญ่ ถึงแม้จะมีกล้องรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้เทประบบอื่นที่มีขนาดเล็กกว่า
แต่หากต้องการถ่ายภาพเพื่อมาเล่นกับเครื่องเล่นวิดีโอ คุณจะต้องแปลงให้เป็นระบบ VHS
ก่อน มิเช่นนั้นจะนำมาเล่นกับเครื่องเล่นวิดีโอไม่ได้
รูป VHS Tape
S–VHS ( Super VHS ) เป็นวิดีโอแบบ Analog ที่พัฒนามากจากวิดีโอระบบ
VHS โดยสามารถบันทึกข้อมูลที่มีคุณภาพดีกว่าแบบ VHS และมีความละเอียดของภาพมากกว่า ส่วนมากเทประบบนี้จะบันทึกเสียงในระบบ Hi
Fi Stereo สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 2 ชั่วโมงพอๆ
กับเทประบบ VHS แต่ข้อเสียของเทประบบนี้คือ
ไม่สามารถนำมาใช้กับเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไปได้
รูป S-VHS
VHS–C (VHS Compact) เป็นวิดีโอแบบ Analog อีกแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากวิดีโอเทประบบ VHS โดยได้ย่อขนาดให้เล็กลง สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 30–40 นาที เนื่องจากมีขนาดเล็กลงจึงทำให้วิดีโอมีความละเอียดของภาพลดน้อยลงแต่ก็ทำให้ขนาดของกล้องเล็กลงด้วย ทำให้พกพาได้สะดวกขึ้น การใช้งานสามารถนำมาใช้กับเครื่องเล่นวิดีโอแบบ VHS ได้แต่ต้องใช้ตัวแปลงสัญญาณช่วย
รูป VHS-C
SVHS–C
( Super VHS–C ) เป็นวิดีโอแบบ Analog
ที่พัฒนามาจากเทปแบบ S–VHS โดยได้ย่อขนาดให้เล็กลงเท่ากับเทปแบบ
VHS–C แต่เทปแบบ S–VHS–C นี้จะมีคุณภาพดีกว่าแบบ
S–VHS บันทึกเสียงในระบบ Stereo สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ
30–40 นาทีแต่ก็ยังมีข้อเสียที่ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องเล่นวิดีโอแบบ
VHS ทั่วไปได้
8mm เป็นเทปแบบ Analog อีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเทปมีขนาดเล็กลงเพียง 8 มม. ทำให้กล้องที่ใช้เทปแบบนี้มีขนาดเล็กและราคาถูก เทปแบบนี้สามารถบันทึกข้อมูลได้ 120 นาที คุณภาพของวิดีโอพอใช้ได้โดยทั่วไปจะใช้บันทึกเสียงในระบบ Mono แต่ก็มีบางรุ่นที่สามารถบันทึกเสียงในระบบ Stereo ได้ แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถใช้เล่นกับเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไปหรือเครื่องเล่นวิดีโอระบบ VHS ได้ ต้องเล่นจากตัวกล้องเท่านั้น
8mm เป็นเทปแบบ Analog อีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเทปมีขนาดเล็กลงเพียง 8 มม. ทำให้กล้องที่ใช้เทปแบบนี้มีขนาดเล็กและราคาถูก เทปแบบนี้สามารถบันทึกข้อมูลได้ 120 นาที คุณภาพของวิดีโอพอใช้ได้โดยทั่วไปจะใช้บันทึกเสียงในระบบ Mono แต่ก็มีบางรุ่นที่สามารถบันทึกเสียงในระบบ Stereo ได้ แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถใช้เล่นกับเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไปหรือเครื่องเล่นวิดีโอระบบ VHS ได้ ต้องเล่นจากตัวกล้องเท่านั้น
รูป เทป 8mm
Hi8 เป็นเทปแบบ Analog อีกแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากเทปแบบ
8 mm โดยมีคุณภาพและมีความละเอียดของภาพมากกว่าแบบ 8 mm บันทึกเสียงในระบบ Stereo เทปมีขนาดเท่ากับเทปแบบ 8
mm สามารถบันทึกข้อมูลได้ 120 นาที
แต่ก็ยังมีข้อเสียเช่นเดียวกับเทปแบบ 8 mm คือไม่สามารถใช้กับเครื่องเล่นวิดีโอระบบ
VHS ได้
รูป เทป hi8
DV ในปี 1994 บรรดาผู้ผลิตต่าง ๆ กว่า 60 บริษัทได้ประชุมกันเพื่อกำหนดรูปแบบมาตรฐานของเทป
Digital สำหรับสินค้าผู้ใช้ระบบ Consumer จึงได้กำหนดรูปแบบ DV โดยเทปแบบ DV เป็นเทปที่บันทึกข้อมูลในรูปแบบ Digital โดยจะต้องมีการบีบอัดข้อมูลก่อนด้วยอัตรา
5 : 1 กล่าวคือ ตัดข้อมูล 4 ใน 5
ส่วนทิ้ง แต่เนื่องจากวิธีการบีบอัดแบบ Digital ที่ซับซ้อนจึงทำให้ภาพยังคงคุณภาพดีเยี่ยม การบันทึกเสียงมีทั้งแบบ 2
ช่องและ 4 ช่องสัญญาณในระบบ Stereo มีความละเอียดของภาพสูงกว่าแบบอื่นๆ สามารถบันทึกข้อมูลได้ตั้งแต่ 60
นาทีถึง 240 นาที เทปแบบ DV จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือเทปแบบมาตรฐานสามารถบันทึกข้อมูลได้สูงสุด
240 นาทีและเทปแบบ miniDV แบบนี้เป็นเทปแบบ
DV ที่ออกแบบให้มีขนาดเล็กลงอีก สามารถบันทึกข้อมูลได้สูงสุด
60 นาที เทปในระบบ DV ยังสามารถแยกออกได้อีกเป็น
2 ประเภท คือ
DVcpro เป็นเทปแบบ DV ที่ Panasonic นำไปปรับปรุงให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นอีก 80 เปอร์เซ็นต์ มี
คุณภาพที่สูงขึ้นอีกมีการเพิ่มแทร็คสำหรับเสียงแบบ Analog เพื่อให้ผู้ตัดต่อได้ยินเสียงขณะลากเทปไปมา
DVcpro เป็นเทปแบบ DV ที่ Panasonic นำไปปรับปรุงให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นอีก 80 เปอร์เซ็นต์ มี
คุณภาพที่สูงขึ้นอีกมีการเพิ่มแทร็คสำหรับเสียงแบบ Analog เพื่อให้ผู้ตัดต่อได้ยินเสียงขณะลากเทปไปมา
รูปเทป DVCPRO
DVcam เป็นเทปแบบ DV ที่ Sony ได้นำไปปรับปรุงให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นอีก
50 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งมีการขยายแทร็คให้กว้างขึ้นเพื่อให้เกิดความทนทานและช่วยในการสับเปลี่ยนเทปได้ดีขึ้น
ด้านคุณภาพจะยังคงคุณภาพเช่นเดียวกับ mini DV
รูปเทป DVCAM
Digital8 เป็นฟอร์แม็ตสำหรับกล้องถ่ายวิดีโอที่พัฒนาโดย
Sony โดยนำเทคโนโลยี DV มาใช้ในรูปแบบใหม่
โดยการบันทึกสัญญาณ DV ลงเทป Hi8 แบบ
Digital แทนที่จะใช้เทปแบบ DV และเรียกชื่อระบบใหม่นี้ว่า
Digital8 เนื่องจากเทป Hi8 สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าเทปแบบ
DV กล้องถ่ายวิดีโอแบบ Digital8 สามารถอ่านข้อมูลจากเทป
Hi8 เดิมที่บันทึกในแบบ Analog ได้ ข้อเสียของกล้อง
Digital8 คือ ไม่สามารถนำเทปประเภท DV
มาใช้งานรวมกันได้
สำหรับคุณภาพเทป Digital8 มีคุณภาพไม่แตกต่างกับเทประเภท DV
รูปเทป Digital8
กล้องดิจิตอลวิดีโอ และความเป็นมา
กล้องดิจิตอลวิดีโอ ส่วนใหญ่มีหลายค่ายรียกว่า Camcorder และมักไม่เรียกว่า
Camera Digital ซึ่งจะตีความหมายว่า เป็นกล้องถ่ายภาพนิ่งระบบ Digital หลังจากการกำเนิดของกล้องวิดีโอในระบบอนาล็อก ในแบบ 8mm และ Hi8 ที่ทำให้ขนาดของตัวกล้องเล็กลง เพราะขนาดของเทปที่เล็กลง และคุณภาพของภาพและเสียงก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียวต่อมาในปี 1994 – 1995 ทางผู้ผลิตค่ายต่างๆ ได้ร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานของม้วนเทป โดยนำระบบดิจิตอล หรือ DV เข้ามาใช้ ให้สามารถบันทึกภาพและเสียงด้วยระบบดิจิตอลแทนระบบเดิม ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพดีขึ้น ไม่มีการลดทอนของสัญญาณและทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เช่นโอนข้อมูล ตัดต่อวิดีโอได้อย่างง่ายดาย
กว่าจะมาเป็นกล้องวิดีโอ
กล้องวิดีโอที่ใช้ในระบบรอดคาสท์ (Broadcast) สำหรับแพร่ภาพตามสถานีโทรทัศน์นั้น
มักจะใช้กล้อง Betacam กล้องทีวีตัวใหญ่ๆ ซึ่งราคาเหยียบล้านทางผู้ผลิตต่างๆ
ก็พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะผลิตระบบ หรือกล้องที่มีความสามารถสูงแบบน้อง ๆหรือหลาน
ๆ กล้อง Betacam แต่ว่าราคาประหยัด แม้ว่าไม่คมชัดเท่า ต่อมาก็มีระบบที่ทันสมัยกว่า
ตัดต่อได้สัญญาณภาพไม่ดรอป (สัญญาณภาพไม่ตกหล่น) อย่างเช่น
กล้องระบบ DVCAM ที่เริ่มดังของค่าย Sony หรือ DVCPRO ที่โด่งดังมาก่อนหน้านี้ค่าย Panasonic
กลุ่มพวกนี้ใช้สัญญาณดิจิตอลเป็นที่พึ่งในการบันทึกและส่งออกซึ่งมีความแม่นยำ
สัญญาณไม่ผิดเพี้ยน แม้ว่าความคมชัดจะด้อยกว่าพี่ใหญ่ Betacam อยู่หลายขุม แต่ด้วยราคาที่เบากว่า จึงมีทางเลือกที่ไม่น่ามองข้าม
หลังจากที่ได้ระบบที่น่าพอใจ และราคาถูกลงแล้ว จากหลักล้านเหลือแค่หลักแสน
ตรงนี้เริ่มดึงตลาดโปรดักชั่นเฮ้าส์ต่างจังหวัด
หรือกึ่งมืออาชีพได้บ้างแล้ว สุดท้ายผู้ผลิตรวมตัวกันอีกปรับคุณภาพ ปรับลดขนาด และตัดฟังก์ชั่นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป
สุดท้ายก็กลายมาเป็นกล้อง Handycam ขนดเล็กที่นิยมในขณะนี้
จึงทำให้เกิด ระบบ MiniDV ขึ้นเพื่อรองรับคุณสมบัติ DV
เต็มระบบสมบูรณ์แบบ มาช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบเดิม เช่น Hi8
หรือ Digital8 ของ Sony และทางค่าย
Panasonic กับระบบม้วนเล็กหรือม้วนคอมแพ็คที่มีม้วนเทปขนาดเล็กเวลาจะเปิดก็นำไปใส่ไว้ในกล่องอแด็ปเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับม้วน
VHS ธรรมดา ซึ่งมีจุดเด่นคือ เปิดดูได้กับเครื่องวิดีโอธรรมดา
ขณะที่ของ Sony ยังต้องเปิดกับกล้องอยู่
ที่มา : จากหนังสือ กล้องดิจิตอลวีดีโอ
รูปภาพประกอบ :
burptv.comli.com
ฟอร์แม็ตต่างๆ ของกล้องวิดีโอ
ฟอร์แม็ตก็คือรูปแบบ
DV มีหลายแบบที่หลายค่ายผู้ผลิตต่างคิดค้นกันมาแต่ก็ตั้งชื่อไม่ให้ซ้ำกัน
แต่มักจะมีคำว่า DV อยู่ในชื่อที่คิดค้น โดยแต่ละฟอร์แม็ตนั้นจะใช้ม้วนเทปในการบันทึกไม่เหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เทปโลหะ
ไม่เหมือนระบบก่อน (อนาล็อก) ที่ใช้เทปเป็นสารสังเคราะห์เคลือบด้วยแม่เหล็กและใช้สนามแม่เหล็กส่งคลื่นไฟฟ้าออกไป
ดังนั้นระบบแต่ละระบบ แต่ละฟอร์แม็ต จะต้องถูกบันทึกลงบนม้วนประเภทต่างๆกัน
DV และ MiniDV
DV เป็นฟอร์แม็ตที่ใช้ในงานร่วมกันได้ทุกยี่ห้อ ลักษณะม้วนที่ใช้บันทึกภาพระบบนี้จะเป็นม้วนโลหะ กว้าง ¼ นิ้ว มี 2 ขนาด คือ ขนาดมาตรฐาน กับขนาดของ MiniDV ที่มีเนื้อเทปกว้าง 10 มม. แต่ว่ามีความยาวในการบันทึกเทป 60 นาทีเมื่อบันทึกระบบ SP (Standard Play) และจะบันทึกได้นานถึง 90 นาทีถ้าบันทึกระบบ LP (Long Play) สำหรับม้วนเทป DV ขนาดมาตรฐานนั้นจะมีขนาดใกล้เคียงกับระบบอื่น ๆ เช่น เทปของระบบ DVCAM ของ Sony หรือระบบ DVCPRO ของค่าย Panasonic
เทประบบ DV หรือ MiniDV จะบันทึกระบบเสียงได้ 8 – 16 บิตความถี่ 32 – 48 MHz ด้วยความเร็วในการถ่ายข้อมูล 25 เมกะบิตต่อวินาที บางรุ่นมีการพัฒนาการบันทึกเสียงได้ถึง 4 แชลแนล ( 4 ช่องสัญญาณ )
เทประบบ MiniDV สามารถทำงานร่วมกับกล้องที่ถูกผลิตขึ้นมาสำหรับระบบนี้เท่านั้น ภาพที่บันทึกด้วยระบบนี้ให้ความคมชัดถึง 500 เส้น มาพร้อมขนาดกล้องที่เล็กกะทัดรัด ทำให้กล้องดิจิตอลวิดีโอในระบบ MiniDV กลายมาเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตสำหรับหลาย ๆ คนในปัจจุบัน
DV และ MiniDV
DV เป็นฟอร์แม็ตที่ใช้ในงานร่วมกันได้ทุกยี่ห้อ ลักษณะม้วนที่ใช้บันทึกภาพระบบนี้จะเป็นม้วนโลหะ กว้าง ¼ นิ้ว มี 2 ขนาด คือ ขนาดมาตรฐาน กับขนาดของ MiniDV ที่มีเนื้อเทปกว้าง 10 มม. แต่ว่ามีความยาวในการบันทึกเทป 60 นาทีเมื่อบันทึกระบบ SP (Standard Play) และจะบันทึกได้นานถึง 90 นาทีถ้าบันทึกระบบ LP (Long Play) สำหรับม้วนเทป DV ขนาดมาตรฐานนั้นจะมีขนาดใกล้เคียงกับระบบอื่น ๆ เช่น เทปของระบบ DVCAM ของ Sony หรือระบบ DVCPRO ของค่าย Panasonic
เทประบบ DV หรือ MiniDV จะบันทึกระบบเสียงได้ 8 – 16 บิตความถี่ 32 – 48 MHz ด้วยความเร็วในการถ่ายข้อมูล 25 เมกะบิตต่อวินาที บางรุ่นมีการพัฒนาการบันทึกเสียงได้ถึง 4 แชลแนล ( 4 ช่องสัญญาณ )
เทประบบ MiniDV สามารถทำงานร่วมกับกล้องที่ถูกผลิตขึ้นมาสำหรับระบบนี้เท่านั้น ภาพที่บันทึกด้วยระบบนี้ให้ความคมชัดถึง 500 เส้น มาพร้อมขนาดกล้องที่เล็กกะทัดรัด ทำให้กล้องดิจิตอลวิดีโอในระบบ MiniDV กลายมาเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตสำหรับหลาย ๆ คนในปัจจุบัน
DVCAM
DVCAM จากค่าย Sony เนื้อเทปกว้างกว่าเล็กน้อย คือ 15 มม. มอเตอร์วิ่งเร็วกว่าระบบ DV เล็กน้อย เป็นฟอร์แม็ตที่ทำมาใช้ร่วมกันกับ DV เพราะใช้เครื่องเปิดร่วมกันได้
DVCPRO
DVCPRO จากค่าย Panasonic เป็นฟอร์แม็ต DV ยุคแรก ๆ เทปกว้าง 18 มม. เทปเดินเร็วกว่า DVCAM เล็กน้อย และเร็วกว่า DV พอสมควร มีการบีบอัดที่ดีและเป็นฟอร์แม็ตที่มีความชัดเจนในเรื่องสีสันเมื่อตัดต่อกับสวิชเชอร์ ( การตัดต่อแบบธรรมดา )
Digital8
Digital8 เป็นเทปที่มีคุณสมบัติ DV ครบถ้วนทุกอย่าง แต่ว่าบันทึกลงบนม้วนแบบอนาล็อกระบบ Hi8 ที่โด่งดังของ Sony ทั้งนี้นำไปเพื่อปรับปรุงระบบ Hi8 เพราะใช้เนื้อเทปและทุกอย่างที่เป็นระบบเดิมทั้งหมด และ Digital8 กับ Hi8 นั้นใช้งานร่วมกันได้ เช่น ใช้ม้วนเปิดข้ามระบบทั้งสองนี้ได้
กล้องดิจิตอลวิดีโอในระบบนี้ จะบันทึกสัญญาณภาพและเสียงในระบบดิจิตอล ให้ความคมชัดถึง 500 เส้น ระบบเสียงแบบ PCM และบางรุ่นยังสามารถเล่นหรือแปลงวิดีโอจากระบบ Video8 หรือ Hi8 ให้มาอยู่ในฟอร์แม็ท Digital8 ได้ด้วย
Micromv
MICROMV เป็นระบบใหม่ล่าสุดของกล้องถ่ายวิดีโอ ที่บันทึกลงบนม้วนเทปที่มีขนาดเล็กลงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของเทประบบ MiniDV และเป็นที่แน่นอนว่าเทปที่มีขนาดเล็กย่อมทำให้ได้กล้องถ่ายวิดีโอที่ตัวเล็กและเบาที่สุดด้วยเช่นกัน สามารถพกพาได้ในทุกที่ที่ต้องการ
MICROMV เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นโดย Sony เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยขนาดของเทป MICROMV ที่เล็กเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ของเทป MiniDV ซึ่งเป็นตลับเทปที่เล็กที่สุดในโลกบันทึกได้ถึง 60 นาที ทำให้ตัวกล้องสามารถมีขนาดเล็กลงได้อีกมาก นอกจากนั้นระบบ MICROMV ใช้ในการบันทึกสัญญาณแบบ MPEG2 ( เป็นแบบเดียวกับที่ใช้บน DVD ) ทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพสูง พร้อมมีหน่วยความจำแบบ IC Chip ที่ทำให้สามารถแทรกไตเติ้ล ข้อมูลอื่น ๆ ลงบนเทปได้
DVCAM จากค่าย Sony เนื้อเทปกว้างกว่าเล็กน้อย คือ 15 มม. มอเตอร์วิ่งเร็วกว่าระบบ DV เล็กน้อย เป็นฟอร์แม็ตที่ทำมาใช้ร่วมกันกับ DV เพราะใช้เครื่องเปิดร่วมกันได้
DVCPRO
DVCPRO จากค่าย Panasonic เป็นฟอร์แม็ต DV ยุคแรก ๆ เทปกว้าง 18 มม. เทปเดินเร็วกว่า DVCAM เล็กน้อย และเร็วกว่า DV พอสมควร มีการบีบอัดที่ดีและเป็นฟอร์แม็ตที่มีความชัดเจนในเรื่องสีสันเมื่อตัดต่อกับสวิชเชอร์ ( การตัดต่อแบบธรรมดา )
Digital8
Digital8 เป็นเทปที่มีคุณสมบัติ DV ครบถ้วนทุกอย่าง แต่ว่าบันทึกลงบนม้วนแบบอนาล็อกระบบ Hi8 ที่โด่งดังของ Sony ทั้งนี้นำไปเพื่อปรับปรุงระบบ Hi8 เพราะใช้เนื้อเทปและทุกอย่างที่เป็นระบบเดิมทั้งหมด และ Digital8 กับ Hi8 นั้นใช้งานร่วมกันได้ เช่น ใช้ม้วนเปิดข้ามระบบทั้งสองนี้ได้
กล้องดิจิตอลวิดีโอในระบบนี้ จะบันทึกสัญญาณภาพและเสียงในระบบดิจิตอล ให้ความคมชัดถึง 500 เส้น ระบบเสียงแบบ PCM และบางรุ่นยังสามารถเล่นหรือแปลงวิดีโอจากระบบ Video8 หรือ Hi8 ให้มาอยู่ในฟอร์แม็ท Digital8 ได้ด้วย
Micromv
MICROMV เป็นระบบใหม่ล่าสุดของกล้องถ่ายวิดีโอ ที่บันทึกลงบนม้วนเทปที่มีขนาดเล็กลงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของเทประบบ MiniDV และเป็นที่แน่นอนว่าเทปที่มีขนาดเล็กย่อมทำให้ได้กล้องถ่ายวิดีโอที่ตัวเล็กและเบาที่สุดด้วยเช่นกัน สามารถพกพาได้ในทุกที่ที่ต้องการ
MICROMV เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นโดย Sony เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยขนาดของเทป MICROMV ที่เล็กเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ของเทป MiniDV ซึ่งเป็นตลับเทปที่เล็กที่สุดในโลกบันทึกได้ถึง 60 นาที ทำให้ตัวกล้องสามารถมีขนาดเล็กลงได้อีกมาก นอกจากนั้นระบบ MICROMV ใช้ในการบันทึกสัญญาณแบบ MPEG2 ( เป็นแบบเดียวกับที่ใช้บน DVD ) ทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพสูง พร้อมมีหน่วยความจำแบบ IC Chip ที่ทำให้สามารถแทรกไตเติ้ล ข้อมูลอื่น ๆ ลงบนเทปได้
กล้องวิดีโอในระบบ MICROMV นั้นจะมีขนาดเล็กเอามากๆ ทีเดียว
เนื่องจากขนาดของเทปที่เล็ก ทำให้พกพาและถ่ายภาพได้สะดวก
มาพร้อมช่องเชื่อมต่อ I – Link ที่สามารถโอนข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว
ไม่จำเป็นต้องแปลงสัญญาณข้อมูลสำหรับตัดต่อกับคอมพิวเตอร์
ที่มา : จากหนังสือ
กล้องดิจิตอลวีดีโอ
การบีบอัดสัญญาณวิดีโอ
เนื่องจากข้อมูลวิดีโอในรูปแบบ Analog จะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่คอมพิวเตอร์จะรับไหว
ดังนั้นการนำวิดีโอแบบ Analog เข้าสู่คอมพิวเตอร์จึงจำเป็นต้องมีการบีบอัดข้อมูลให้เล็กลงก่อน
แต่สำหรับวิดีโอที่เป็นแบบ Digital อาจจะไม่จำเป็นต้องบีบอัดอีกก็ได้ แต่โดยมากจะนิยมบีบอัดเพื่อให้มีขนาดเล็กลง โดยมีวิธีการบีบอัดอยู่ 2
แบบคือ
Losses Method เป็นวิธีการบีบอัดข้อมูลที่สามารถขยายกลับมาให้มีขนาดและคุณภาพเหมือนเดิมได้
แบบนี้จะไม่ทำให้สูญเสียรายละเอียดของข้อมูล ส่วนมากนิยมใช้ในไฟล์เอกสารต่าง ๆ เช่นการบีบอัดข้อมูลในรูปแบบ
.ZIP เป็นต้น
Lossy Schemes เป็นวิธีการบีบอัดข้อมูลโดยกรองเอาข้อมูลบางส่วนออกไป และจึงทำการบีบอัด การบีบอัดข้อมูล วิธีนี้จะไม่สามารถขยายข้อมูลกลับมาให้มีขนาดและคุณภาพเหมือนเดิมได้ เพราะข้อมูลบางส่วนถูกกรองออกไปแล้ว การบีบอัดวิธีนี้สามารถบีบอัดข้อมูลได้มากกว่าแบบ Losses นิยมใช้กับไฟล์ประเภทวิดีโอและเสียง
การบีบอัดข้อมูลวิดีโอจะแบ่งลักษณะการบีบอัดได้ 2 แบบ คือ
การบีบอัดโดยใช้ฮาร์ดแวร์ในการบีบอัด มีข้อดีคือ สะดวก ทำงานได้รวดเร็ว ซีพียูไม่ต้องทำงานหนัก ทำให้ไม่ต้องใช้ซีพียูที่มีความเร็วสูงมากก็ได้ แต่มีข้อเสียคือ การ์ดที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้จะมีราคาแพงการบีบอัดโดยใช้ซอฟต์แวร์ในการบีบอัด การบีบอัดโดยใช้ซอฟต์แวร์จะต้องอาศัยการทำงานของซีพียูเป็นหลัก ดังนั้นเครื่องที่จะทำการบีบอัดต้องมีความเร็วของซีพียู แต่มีข้อดีของการบีบอัดแบบนี้คือ การ์ดที่ใช้จะมีราคาถูกกว่าการ์ดที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้
รูปแบบของการบีบอัดวิดีโอ จะมีรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
M–JPEG (Motion–JPEG) เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้ในอุตสาหกรรม การบีบอัดแบบนี้จะมีคุณภาพของการบีบอัดและการขยายสัญญาณตั้งแต่อัตราส่วน 12:1 , 5:1 และ 2:1 โดยยังให้ภาพออกมาดีพอใช้สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก คุณภาพจะอยู่ในระดับเดียวกับเทปวิดีโอ
MPEG (Moving Picture Experts Group) เป็นมาตรฐานการบีบอัดสัญญาณภาพและเสียง ที่ใช้ในระบบวิดีโอคุณภาพสูงทั่วไป การบีบอัดข้อมูลแบบนี้สามารถแยกเป็นแบบย่อย ๆ ได้อีกดังนี้
MPEG–1 เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับสัญญาณวิดีโอในระบบ VHS ใช้อัตราการส่งผ่านข้อมูล 1.5 Mbps ในอัตราการบีบอัดสูง คุณภาพพอ ๆ กับเทปวิดีโอ ส่วนใหญ่ใช้ทำแผ่นVCD
MPEG-2 เป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะ การบีบอัดข้อมูลแบบนี้จะมี ลักษณะเป็นแบบ GOP ( Group of Picture ) คือจะทำการเปรียบเทียบภาพเป็นกลุ่มโดยเริ่มจากภาพแรกเปรียบเทียบกับภาพที่สองและเก็บข้อมูลในส่วนที่แตกต่างกัน และทำการเปรียบเทียบภาพที่สอง กับภาพต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้การบีบอัดข้อมูลแบบนี้สามารถลดจำนวนข้อมูลลงได้มาก โดยมากใช้ในการทำแผ่น DVD มีคุณภาพของภาพและเสียงสูงมาก
MPEG-4 เป็นมาตรฐาน MPEG ใหม่ที่ใกล้เคียงกับ QuickTime ของ Apple พัฒนาขึ้นมาสำหรับงานมัลติมีเดียที่มี แบนด์วิดท์ต่ำ สามารถรวมภาพ เสียงและส่วนประกอบอื่นที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นได้ มีอัตราการบีบอัดสูงขึ้น คุณภาพดีขึ้น
Indeo เป็นรูปแบบการบีบอัดของ intel จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการจัดการสัญญาณวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับชิปไม่โครโปรเซสเซอร์ของ intel เหมาะสำหรับทำงานวิดีโอบนเว็บเพจ
Cinepak เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาให้ใช้กับเครื่อง Apple และ SuperMac ซึ่งให้ความละเอียดของภาพ 320*240 pixels แสดงผลที่ 15 fps เนื่องจากภาพมีขนาดเล็กทำให้สามารถใช้ซีดีรอมที่มีความเร็วต่ำเล่นไฟล์นี้ได้ รูปแบบนี้หากมีการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นจะให้คุณภาพที่ไม่ดีนัก เพราะการขยายสัญญาณจะให้รายละเอียดของสีที่ไม่แน่นอนเหมาะสำหรับวิดีโอที่ไม่มี effect และกราฟฟิกต่าง ๆมากนัก
Microsoft Video 1 เป็นรุปแบบที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้รวดเร็วในอัตราส่วนที่ต่ำ แต่มีข้อเสียคือ จะมีความละเอียดของภาพได้ไม่เกิน 240*180 Pixels Microsoft RLE เป็นรูปแบบที่มีอัตราส่วนการบีบอัดข้อมูลที่ต่ำ เหมาะสำหรับภาพ Animation ต่าง ๆ ไม่เหมาะสำหรับงานวิดีโอ
QuickTime เป็นรูปแบบที่ออกแบบเพื่อทดแทนการใช้ฮาร์ดแวร์สำหรับถอดรหัส ทำให้สามารถทำงานใน
ระบบปฏิบัติการที่หลากหลายได้ มีความสามารถในการเพิ่มหรือลดจำนวนเฟรมต่อวินาทีเพื่อให้ภาพและเสียงเกิดความสัมพันธ์กันมากขึ้นได้
Video for Windows ไฟล์รูปแบบนี้จะมีนามสกุลเป็น AVI (Audio Video Interleaved) สร้างขึ้นมาเพื่อให้รองรับ การทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows ที่ใช้งานผ่านทาง MCI ( Media Control Interface ) สามารถทำการบีบอัดได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบ Realtime , Non Realtime สามารถที่จะใช้ส่วนของฮาร์ดแวร์ในการบีบอัดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งระบบ Quicktime จะไม่สามารถทำได้
DV เป็นรูปแบบที่มีการบันทึกข้อมูลในระบบ Digital ใช้ในกล้องประเภท DV หรือ Digital8 ข้อมูลวิดีโอรูปแบบนี้สามารถส่งผ่านเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้โดยไม่มีการสูญเสียคุณภาพของสัญญาณ เรียกว่าเป็นระบบที่ DV in = DV out ระบบ DV จะมีความแตกต่างจากไฟล์รูปแบบอื่นๆ คือสามารถบีบอัดสัญญาณในอัตราส่วนที่แตกต่างกันในภาพเดียวกัน โดยระบบจะคำนวณอัตราส่วนที่เหมาะสมของภาพในแต่ละส่วน ซึ่งทำให้สามารถบีบอัดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าระบบอื่นๆ ระบบ DV ยังรองรับระบบเสียงแบบ PCM ( Pulse Code Modulation ) Stereo ซึ่งสามารถให้เสียงระดับ 16 Bits คุณภาพของวิดีโอระบบนี้จะใกล้เคียงกับวิดีโอแบบ MPEG – 2
DivX เป็นรูปแบบพิเศษที่พัฒนาขึ้นอย่างอิสระ ใช้ฟีเจอร์บางอย่างใน MPEG-4 และ MP3 ให้คุณภาพสูงแต่ใช้ BitRate ต่ำ ทำให้มีขนาดไฟล์เล็กลงมาก สามารถเข้ารหัสวิดีโอให้เหลือข้อมูลเพียง 10 – 20 เปอเซ็นต์ เช่น สามารถบีบอัดสัญญาณจากแผ่น DVD ให้เหลือประมาณ 650 MB ที่ความละเอียด 640*480 Pixels ทำให้สามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพระดับ DVD ลงในแผ่น CD เพียงแผ่นเดียวได้ เนื่องจากวิดีโอระบบนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายจึงยังไม่มีเครื่องเล่นสำหรับวิดีโอระบบนี้ ดังนั้นจึงต้องใช้กับคอมพิวเตอร์เท่านั้น
Lossy Schemes เป็นวิธีการบีบอัดข้อมูลโดยกรองเอาข้อมูลบางส่วนออกไป และจึงทำการบีบอัด การบีบอัดข้อมูล วิธีนี้จะไม่สามารถขยายข้อมูลกลับมาให้มีขนาดและคุณภาพเหมือนเดิมได้ เพราะข้อมูลบางส่วนถูกกรองออกไปแล้ว การบีบอัดวิธีนี้สามารถบีบอัดข้อมูลได้มากกว่าแบบ Losses นิยมใช้กับไฟล์ประเภทวิดีโอและเสียง
การบีบอัดข้อมูลวิดีโอจะแบ่งลักษณะการบีบอัดได้ 2 แบบ คือ
การบีบอัดโดยใช้ฮาร์ดแวร์ในการบีบอัด มีข้อดีคือ สะดวก ทำงานได้รวดเร็ว ซีพียูไม่ต้องทำงานหนัก ทำให้ไม่ต้องใช้ซีพียูที่มีความเร็วสูงมากก็ได้ แต่มีข้อเสียคือ การ์ดที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้จะมีราคาแพงการบีบอัดโดยใช้ซอฟต์แวร์ในการบีบอัด การบีบอัดโดยใช้ซอฟต์แวร์จะต้องอาศัยการทำงานของซีพียูเป็นหลัก ดังนั้นเครื่องที่จะทำการบีบอัดต้องมีความเร็วของซีพียู แต่มีข้อดีของการบีบอัดแบบนี้คือ การ์ดที่ใช้จะมีราคาถูกกว่าการ์ดที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้
รูปแบบของการบีบอัดวิดีโอ จะมีรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
M–JPEG (Motion–JPEG) เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้ในอุตสาหกรรม การบีบอัดแบบนี้จะมีคุณภาพของการบีบอัดและการขยายสัญญาณตั้งแต่อัตราส่วน 12:1 , 5:1 และ 2:1 โดยยังให้ภาพออกมาดีพอใช้สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก คุณภาพจะอยู่ในระดับเดียวกับเทปวิดีโอ
MPEG (Moving Picture Experts Group) เป็นมาตรฐานการบีบอัดสัญญาณภาพและเสียง ที่ใช้ในระบบวิดีโอคุณภาพสูงทั่วไป การบีบอัดข้อมูลแบบนี้สามารถแยกเป็นแบบย่อย ๆ ได้อีกดังนี้
MPEG–1 เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับสัญญาณวิดีโอในระบบ VHS ใช้อัตราการส่งผ่านข้อมูล 1.5 Mbps ในอัตราการบีบอัดสูง คุณภาพพอ ๆ กับเทปวิดีโอ ส่วนใหญ่ใช้ทำแผ่นVCD
MPEG-2 เป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะ การบีบอัดข้อมูลแบบนี้จะมี ลักษณะเป็นแบบ GOP ( Group of Picture ) คือจะทำการเปรียบเทียบภาพเป็นกลุ่มโดยเริ่มจากภาพแรกเปรียบเทียบกับภาพที่สองและเก็บข้อมูลในส่วนที่แตกต่างกัน และทำการเปรียบเทียบภาพที่สอง กับภาพต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้การบีบอัดข้อมูลแบบนี้สามารถลดจำนวนข้อมูลลงได้มาก โดยมากใช้ในการทำแผ่น DVD มีคุณภาพของภาพและเสียงสูงมาก
MPEG-4 เป็นมาตรฐาน MPEG ใหม่ที่ใกล้เคียงกับ QuickTime ของ Apple พัฒนาขึ้นมาสำหรับงานมัลติมีเดียที่มี แบนด์วิดท์ต่ำ สามารถรวมภาพ เสียงและส่วนประกอบอื่นที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นได้ มีอัตราการบีบอัดสูงขึ้น คุณภาพดีขึ้น
Indeo เป็นรูปแบบการบีบอัดของ intel จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการจัดการสัญญาณวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับชิปไม่โครโปรเซสเซอร์ของ intel เหมาะสำหรับทำงานวิดีโอบนเว็บเพจ
Cinepak เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาให้ใช้กับเครื่อง Apple และ SuperMac ซึ่งให้ความละเอียดของภาพ 320*240 pixels แสดงผลที่ 15 fps เนื่องจากภาพมีขนาดเล็กทำให้สามารถใช้ซีดีรอมที่มีความเร็วต่ำเล่นไฟล์นี้ได้ รูปแบบนี้หากมีการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นจะให้คุณภาพที่ไม่ดีนัก เพราะการขยายสัญญาณจะให้รายละเอียดของสีที่ไม่แน่นอนเหมาะสำหรับวิดีโอที่ไม่มี effect และกราฟฟิกต่าง ๆมากนัก
Microsoft Video 1 เป็นรุปแบบที่สามารถบีบอัดข้อมูลได้รวดเร็วในอัตราส่วนที่ต่ำ แต่มีข้อเสียคือ จะมีความละเอียดของภาพได้ไม่เกิน 240*180 Pixels Microsoft RLE เป็นรูปแบบที่มีอัตราส่วนการบีบอัดข้อมูลที่ต่ำ เหมาะสำหรับภาพ Animation ต่าง ๆ ไม่เหมาะสำหรับงานวิดีโอ
QuickTime เป็นรูปแบบที่ออกแบบเพื่อทดแทนการใช้ฮาร์ดแวร์สำหรับถอดรหัส ทำให้สามารถทำงานใน
ระบบปฏิบัติการที่หลากหลายได้ มีความสามารถในการเพิ่มหรือลดจำนวนเฟรมต่อวินาทีเพื่อให้ภาพและเสียงเกิดความสัมพันธ์กันมากขึ้นได้
Video for Windows ไฟล์รูปแบบนี้จะมีนามสกุลเป็น AVI (Audio Video Interleaved) สร้างขึ้นมาเพื่อให้รองรับ การทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows ที่ใช้งานผ่านทาง MCI ( Media Control Interface ) สามารถทำการบีบอัดได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบ Realtime , Non Realtime สามารถที่จะใช้ส่วนของฮาร์ดแวร์ในการบีบอัดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งระบบ Quicktime จะไม่สามารถทำได้
DV เป็นรูปแบบที่มีการบันทึกข้อมูลในระบบ Digital ใช้ในกล้องประเภท DV หรือ Digital8 ข้อมูลวิดีโอรูปแบบนี้สามารถส่งผ่านเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้โดยไม่มีการสูญเสียคุณภาพของสัญญาณ เรียกว่าเป็นระบบที่ DV in = DV out ระบบ DV จะมีความแตกต่างจากไฟล์รูปแบบอื่นๆ คือสามารถบีบอัดสัญญาณในอัตราส่วนที่แตกต่างกันในภาพเดียวกัน โดยระบบจะคำนวณอัตราส่วนที่เหมาะสมของภาพในแต่ละส่วน ซึ่งทำให้สามารถบีบอัดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าระบบอื่นๆ ระบบ DV ยังรองรับระบบเสียงแบบ PCM ( Pulse Code Modulation ) Stereo ซึ่งสามารถให้เสียงระดับ 16 Bits คุณภาพของวิดีโอระบบนี้จะใกล้เคียงกับวิดีโอแบบ MPEG – 2
DivX เป็นรูปแบบพิเศษที่พัฒนาขึ้นอย่างอิสระ ใช้ฟีเจอร์บางอย่างใน MPEG-4 และ MP3 ให้คุณภาพสูงแต่ใช้ BitRate ต่ำ ทำให้มีขนาดไฟล์เล็กลงมาก สามารถเข้ารหัสวิดีโอให้เหลือข้อมูลเพียง 10 – 20 เปอเซ็นต์ เช่น สามารถบีบอัดสัญญาณจากแผ่น DVD ให้เหลือประมาณ 650 MB ที่ความละเอียด 640*480 Pixels ทำให้สามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพระดับ DVD ลงในแผ่น CD เพียงแผ่นเดียวได้ เนื่องจากวิดีโอระบบนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายจึงยังไม่มีเครื่องเล่นสำหรับวิดีโอระบบนี้ ดังนั้นจึงต้องใช้กับคอมพิวเตอร์เท่านั้น
กล้องวิดีโอ
กล้อง MiniDV
เป็นกล้องที่มีความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใดก็ตาม
เพราะมีขนาดของม้วนเทปที่เล็ก ง่ายต่อการพกพาทั้งม้วนทั้งกล้อง คุณภาพก็ชัด
ความละเอียดสูง กล้อง MiniDV
หลาย ๆ รุ่นมีฟังก์ชั่นถ่ายภาพนิ่ง
ชนิดที่ว่าถ่ายเสร็จจะบันทึกภาพลงบน Memory Stick แล้วไปที่ร้านถ่ายรูปพริ้นต์ออกมาได้รูปทันที
ไม่เปลืองฟิล์มด้วย หากท่านต้องการเก็บผลงานที่ถ่ายไว้ดุนาน ๆ หรือตกแต่งให้หรู ๆ
หน่อย ก็ต้องโอนย้ายข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ โดยใช้สายไฟร์ไวร์
IEEE 1394 (Firewire) หรือ I–link ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อตัดต่อ
บันทึก แปลงเป็น VCD ได้ทันที
รูปทรงของกล้องวิดีโอ
รูปทรงต่าง ๆของกล้องวิดีโอในปัจจุบัน
อาจมีรูปแบบดีไซน์แตกต่างกันไปบ้าง แต่ความจริงแล้วหากเราจะแบ่งกล้องดิจิตอลวิดีโอในปัจจุบันออกตามรูปทรง
อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบชัด ๆ คือ ประเภท Upright แบบตั้งขึ้น
และ Shooting แบบที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป คือเป็นแนวยาว
เป็นเหมือนลำกล้อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.กล้องแบบ Upright
กล้องประเภทนี้เห็นกันมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะขนาดของเทปที่เล็กลง
โดยเฉพาะในระบบ MICROMV ทำให้ผู้ผลิตต่าง ๆสามารถลดขนาดของตัวกล้องลง มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมไม่เหมือนกล้องรุ่นเดิมๆ ที่มีลักษณะคล้ายลำกล้องยาว
ๆ กล้องในแบบ Upright มีลักษณะเล็กและเบากว่ากล้องในแบบ Shooting ผู้ใช้สามารถจับไว้บนอุ้งมือขณะใช้งาน โดยช่องมองภาพ (Viewfinder) และเลนส์จะไม่ยื่นออกมาทำให้สะดวกมากขึ้นเมื่อเคลื่อนย้ายหรือจัดเก็บกล้องดิจิตอลวิดีโอประเภทนี้
ในปัจจุบันผู้ผลิตจากค่ายต่างๆ ได้ทยอยผลิตออกมาให้เราเห็นกันมากขึ้น
2.กล้องแบบ Shooting
2.กล้องแบบ Shooting
หากเราไปเดินตามศูนย์จำหน่ายกล้องวิดีโอในปัจจุบัน
กล้องสิดีโอที่เห็นส่วนใหญ่มักเป็นกล้องในรูปลักษณ์แบบ
Shooting นี้ โดยมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น
มีลักษณะเป็นลำกล้อง แนวยาว ไม่ได้มีลักษณะตั้งขึ้นเหมือนกับแบบ Upright มีขนาดของเลนส์ค่อนข้างใหญ่
มีส่วนของกล้องมองภาพยื่นออกมาทำให้ใช้งานได้สะดวก ซึ่งหากเทียบกันแล้วกล้องประเภทนี้มักมีขนาด
และน้ำหนักมากกว่าแบบ Upright โดยส่วนใหญ่จะมักเป็นกล้องในระบบ
MiniDV หรือ Digital8 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
เราสามารถเลือกซื้อมาใช้งานได้ตามต้องการ เพราะมีให้เลือกหลากหลายค่ายทีเดียว
ที่มา : จากหนังสือ
กล้องดิจิตอลวีดีโอ
รูปภาพประกอบ : http://www.allreviews.com/camcorders
รูปภาพประกอบ : http://www.allreviews.com/camcorders
Production
Production เป็นขั้นตอนหลังจากขั้นตอน
Pre-Production ซึ่งขั้นตอน Production คือขั้นตอนในการผลิตภาพยนตร์
ตั้งแต่ถ่ายทำภาพยนตร์จากบท หรือจากการวางแผนการเขียนสตอรี่บอร์ดที่ได้
รวมถึงการบันทึกเสียง การจัดแสงในระหว่างถ่ายทำก็ถือว่าอยู่ในขั้นตอน production
ทั้งหมด จนสำเร็จการถ่ายทำ
|
·
ไมโครโฟนและการบันทึกเสียง
·
แสงไฟและการจัดแสงในงานภาพยนตร์
·
เรียนรู้มุมกล้อง
ไมโครโฟนและการบันทึกเสียง
ไมโครโฟนและการบันทึกเสียงในงานภาพยนตร์
1.
ไมโครโฟน
2.
ชนิดของไมโครโฟน
3.
วิธีการเลือกไมโครโฟนให้เหมาะกับงาน
4.
เปรียบเทียบไมโครโฟนแบบต่าง
ๆ
5.
ไมโครโฟนแบบพิเศษต่าง
ๆ
6.
อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับไมโครโฟน
7.
การบันทึกเสียงในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์
ไมโครโฟน
ไมโครโฟนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการบันทึกเสียง เพราะเป็นตัวที่ทำหน้าที่รับเสียงมาเปลี่ยนสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อให้เข้าสู่ระบบบันทึกเสียงได้ โดยไมโครโฟนจะมีหลายชนิด
เราจึงควรที่จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับงาน หรือ งบประมาณของเรา
ชนิดของไมโครโฟน
1. คาร์บอนไมโครโฟน (Carbon Microphone) คาร์บอน ไมโครโฟนเป็นไมโครโฟนแบบแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งาน หลักการทำงานของคาร์บอนไมโครโฟน คือ เมื่อมีเสียงมากระทบที่ไดอะแฟรม (Diaphragm)
จะทำให้เกิดการสั่นของเม็ดคาร์บอน การสั่นมากหรือน้อยของเม็ดคาร์บอนนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของไดอะแฟรม
การสั่นนี้เองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าความต้านทานทางไฟฟ้าสูงและต่ำ ตามการเคลื่อนไหวของไดอะแฟรม
และแปลงค่าความต่างศักดิ์ของแบตเตอรรี่เป็นกระแสไฟฟ้าที่มีค่าสูงต่ำตาม สัญญาณเสียง คาร์บอน ไมโครโฟนมีราคาถูก ทนทาน แต่คุณภาพของเสียงไม่ดี ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว เพราะมีสัญญาณรบกวนสูง มีความเพี้ยนสูง
2. ไดนามิค ไมโครโฟน
(Dynamic microphone) เป็นไมโครโฟนที่ออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ทำงานโดยอาศัยหลักการเหนี่ยวนำของขดลวดในสนามแม่เหล็ก ไดอะแฟรม ของไมโครโฟนชนิดนี้จะติดอยู่กับขดลวดซึ่งอยู่ระหว่างสนามแม่เหล็ก เมื่อมีเสียงมาตกกระทบกับแผ่นไดอะเฟรม จะทำให้แผ่นไดอะแฟรมสั่น ขดลวดก็จะสั่นตามไปด้วย คนนิยมใช้กันมาก เนื่องจากคุณภาพดีพอสมควร และราคาไม่แพงนัก
3. ริบบอนไมโครโฟน (Ribbon microphone) เป็นไมโครโฟนที่มีแผ่นสั่นสะเทือนแขวนไว้ระหว่างสนามแม่เหล็กเมื่อมีคลื่น เสียงผ่านมากระทบ ก็จะเกิดคลื่นกระแสไฟฟ้าความถี่เสียงจากการสั่นสะเทือนของแผ่นริบบอนในสาม แม่เหล็ก ไมโครโฟนชนิดนี้มีความไวต่อการรับเสียงมากและบอบบาง อาจจะเกิดความเสียหายได้ง่าย ดังนั้น ไมโครโฟนชนิดนี้มักจะพบในสถานีส่งโทรทัศน์ วิทยุ หรือห้องบันทึกเสียงเท่านั้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับวงดนตรี มีราคาสูงมาก ไม่ควรใช้นอกสถานที่ เพราะเสียหายได้ง่าย เพียงลมพัดแรง ๆ เข้าไปในไมโครโฟนก็อาจทำให้มันเสียหายได้
4. คอนเดนเซอร์ไมโครโฟน (Condenser microphone) ไมโครโฟนชนิดนี้มีแผ่นเสียงสั่น ทำหน้าที่เป็น plate เมื่อมีคลื่นเสียงากระทบ plate ก็จะยืดตัวทำให้เกิดความจุ (capacity) เพื่อเปลี่ยนแปลงการไหลของกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าผ่านวงจรตามจังหวะการอัดตัวของคาร์บอน ถ้าคาร์บอนอัดตัวแน่นเนื่องจากแรงกดของแผนสั่นที่สั่นอันเกิดจากคลื่นเสียง กระแสผ่านน้อย เนื่องจากความต้านทานสูง ถ้าคาร์บอนอัดตัวกันน้อยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้มาก เนื่องจากความดันต่ำ
ลำดับงานออกแบบสถานที่
และฉากในภาพยนตร์
2. การปรึกษาหารือกับผู้กำกับภาพยนตร์ หลังจากแยกฉากที่ต้องออกแบบก่อสร้างที่ถือเป็นฉากหลัก และฉากที่ต้องถ่ายในโลเกชันอย่างคร่าวๆ โดยรับรู้ถึงสัดส่วนของงานในเรื่องเกี่ยวกับฉากแล้ว จะต้องสร้างจินตนาการว่ามีฉากอะไรบ้าง และมีลักษณะอย่างไร โดยคิดร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์ โดยควรจะต้องพอใจทั้งสองฝ่าย
3. การหาข้อมูลเกี่ยวกับฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก เมื่อได้แนวทางของฉากแล้ว ผู้ออกแบบฉากจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับฉากโดยละเอียด เช่น ถ้าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ก็ควรค้นคว้าหาข้อมูลว่าเป็นช่วงเวลาใดมีสภาพแวดล้อมอย่างไร การตกแต่งประดับประดาเป็นอย่างไร โดยอาจหาข้อมูลได้จากเอกสาร ผู้รู้ ภาพถ่าย ภาพวาด ของจริง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด แล้วร่างความคิดขั้นต้นไว้ เพื่อไม่ให้ละเลยเมื่อลงมือออกแบบ โดยข้อมูลดังกล่าวควรมีการพิจารณาร่วมกันว่าที่จำเป็นมีอะไรบ้าง
4. การร่างการออกแบบ(อย่างหยาบ) นำข้อมูลที่ได้จากกการค้นคว้ามาออกแบบโดยการร่างแบบอย่างหยาบหลายๆ แบบ เพื่อให้เห็นว่ามีลักษณะอย่างไร และลงสีหยาบๆ พอให้เห็นเป็นเค้าโครง
5. การเสนอแบบให้ผู้กำกับภาพยนตร์เลือก เมื่อร่างแบบหยาบเรียบร้อยแล้ว ให้เสนอต่อผู้กำกับภาพยนตร์พิจารณาเพราะแบบร่างอย่างหยาบนี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนกว่าจินตนาการ รวมทั้งได้เห็นโครงสีประกอบฉาก ทำให้ผู้กำกับภาพยนตร์สามารถสร้างจินตนาการของการเคลื่อนไหวของผู้แสดงได้ โดยสามารถเลือกได้ว่าฉากใดจึงจะเหมาะสม ที่จะนำมาดำเนินการจัดสร้าง หรือปรับปรุงแบบในส่วนใด
6. การเขียนแบบ และการกำหนดรายละเอียด นำแบบร่างอย่างหยาบที่ได้รับการคัดเลือกและได้รับความเห็นชอบจากผู้กำกับแล้ว มาเขียนแบบโดยเขียนรายละเอียด รูปตัด รูปตั้ง และอาจสร้างรูปจำลองโดยใช้สเกล เพื่อให้ช่างฝีมือสามารถนำไปก่อสร้างได้
7. การกำหนดงบประมาณสร้างฉาก ให้แยกเป็นรายการต่างๆ ของการก่อสร้างในแต่ละฉากว่าเป็นค่าวัสดุและค่าแรงมากน้อยเพียงไร ค่าอุปกรณ์ และวัสดุประกอบฉากจะเช่า ซื้อ หรือยืม ค่าขนส่ง เป็นต้น
8. การวางโครงสีและวัสดุ การวางโครงสีของฉากที่สร้างขึ้นมา ทำได้โดยการทดลองระบายดูว่าพื้นฉากควรเป็นสีอะไร และเข้ากับอุปกรณ์หรือวัสดุประกอบฉากหรือไม่ ถ้าเห็นเหมาะสมจึงค่อยซื้อมา
9. การควบคุมการสร้าง การตกแต่งและการจัดสิ่งประกอบฉาก ต้องหมั่นตรวจสอบช่างฝีมือให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งในด้านความประณีตและระยะเวลาการดำเนินการ
10. การดูแลจัดฉากให้ได้ภาพงดงาม กลมกลืนกับผู้แสดงในวันถ่ายทำต้องหาสิ่งตกแต่งสำรองถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน้า และต้องดูแลเก็บรักษาสิ่งประกอบฉากไว้ถ่ายทำต่อเนื่องจนเสร็จฉากนั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)